หลังเหตุการณ์งานน้ำชา
ซูเมิ่งอวี่เงียบไปพักหนึ่ง
เงียบอย่างผิดสังเกต…แต่ไม่ใช่เพราะพ่ายแพ้
เพราะนางกำลังรอ “เวลาที่เหมาะสม” เพื่อโต้กลับในแบบที่ “ดูบริสุทธิ์” ที่สุด
โอกาสก็มาถึงในการจัด “พิธีเย็บผืนแพรประจำฤดูเหมันต์”
ธรรมเนียมเก่าแก่ที่สตรีชั้นสูงในวังหลวงต้องเข้าร่วม เพื่อถวายผืนผ้าไหมให้แก่ฮ่องเต้
เป็นการแสดงออกถึงกตัญญู ความละเอียด และความสามารถทางเรือนชั้นใน
และผู้ได้รับเกียรติ “เป็นผู้นำพิธี” ในปีนี้คือ…คุณหนูซูเมิ่งอวี่
ด้วยคำเสนอของกุ้ยเฟยซูเจิน
⸻
“เหตุใดต้องนาง?”
เซียนหลันเอ่ยเบา ๆ ขณะอ่านราชโองการ
“เป็นเพียงสตรีต่างแคว้น กลับได้วางตัวเป็นผู้นำพิธีในวังหลวง”
ขันทีผู้นำราชโองการแสร้งหัวเราะ
“เพราะคุณหนูซูเป็นว่าที่ ‘สะใภ้’ ของวังหลวงกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เซียนหลันไม่ตอบ
แต่นางรู้…นี่ไม่ใช่พิธีธรรมดา
นี่คือการดึง “สถานะ” ของซูเมิ่งอวี่ขึ้นเหนือ ตอกย้ำว่านางคือผู้นำของหมู่สตรี
ส่วนตน? แค่เจ้าหญิงรอวันถูกลืม
⸻
วันพิธี
ศาลาผ้าแพรกลางวังหลวงอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกหมื่นปี
โต๊ะวางผ้าไหมเรียงราย ผืนผ้าสีอ่อนวางเรียบชัด บรรดาคุณหนูต่างวางเข็มเย็บอย่างนอบน้อม
เซียนหลันนั่งอยู่มุมหนึ่ง ไม่เด่น
นางจงใจใช้ผ้าไหมสีเทาอ่อน ต่างจากผู้อื่นที่เลือกชมพู ฟ้า หรือน้ำตาลทอง
ซูเมิ่งอวี่ในชุดแดงกุหลาบ เดินผ่านแต่ละคนไปอย่างสง่างาม
นางยิ้ม ยกมือแตะผ้าของสาวงามตระกูลไป๋ แล้วหันมามองผืนผ้าของเซียนหลัน
“สีเทาเย็นเยียบ แม้เนื้อดี…แต่ช่างหม่นหมองนัก”
“เหมาะเป็นผ้าคลุมไหล่ในฤดูหนาวของหญิงชราเสียมากกว่า”
เสียงหัวเราะบางเบาดังขึ้นรอบวง
หญิงสาวบางคนปิดปากอมยิ้ม บ้างหลบตา บ้างมองเซียนหลันอย่างเห็นใจ
แต่เซียนหลันไม่สะทกสะท้าน
นางยังคงเย็บผ้าไปช้า ๆ มือเรียบสงบ ดวงตานิ่งเหมือนผิวน้ำที่ไม่มีคลื่น
“เพราะฤดูหนาวนี้ยาวนานนัก”
“ข้าจึงเลือกผืนสีเทา…เผื่อห่มหัวใจของผู้ที่อาจโดนความเย็นของข่าวลือกัดกินโดยไม่รู้ตัว”
ซูเมิ่งอวี่ชะงักเพียงเสี้ยววินาที
ก่อนยิ้มตอบกลับเช่นกัน
“แม่นางช่างเลือกถ้อยคำน่ารักนัก แม้แหลมคม แต่ก็ยังดูอ่อนหวาน”
“ความจริง…คล้ายผ้าแพร หากถูกเย็บด้วยเจตนาดี ย่อมงามน่ามอง”
“แต่หากใส่พิษลงในเส้นด้าย ต่อให้เนียนเพียงใด ก็ทิ่มแทงอยู่ดี”
⸻
พิธีสิ้นสุด
เซียนหลันเป็นเพียงหนึ่งในผู้ร่วมพิธี
แต่ฮ่องเต้กลับกล่าวเพียงประโยคเดียวกลางท้องพระโรง
“ผ้าสีเทาขององค์หญิงสี่ แม้หม่น แต่กลับทำให้ข้านึกถึงมารดาเจ้า…”
“นางเคยถวายผ้าสีเดียวกันตอนข้าออกศึกครั้งแรก”
ทั้งศาลาเงียบงัน
ขณะที่เซียนหลันก้มศีรษะต่ำ สีหน้าไม่เปลี่ยน
ซูเมิ่งอวี่ยิ้ม
แต่ในใจนางแทบกัดริมฝีปาก
ไม่ว่าจะพยายามยกตนขึ้นเพียงใด…หงส์นั้นยังคงเฉิดฉายในสายตาฮ่องเต้ แม้ไม่ต้องเอ่ยแม้แต่คำเดียว
⸻
คืนนั้น
เฟิงอวี้หานนั่งอ่านรายงานทูตในเรือนพัก
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ทำให้เขาเงยหน้า เห็นเซียนหลันเดินเข้ามาเงียบ ๆ
“เจ้าไม่ควรเดินลำพังยามค่ำ” เขาเอ่ย
“ในวังหลวง ไม่มีใครเดินลำพังได้จริง ๆ หรอก” เซียนหลันตอบ
“แม้ข้าจะอยู่คนเดียว…แต่ข้างหลังข้า มีสายตาหลายคู่เฝ้ารอเพียงการสะดุด”
เฟิงอวี้หานจ้องนางครู่หนึ่ง
ก่อนเขาจะวางรายงานลง แล้วพูดเพียงเบา ๆ
“เจ้ากำลังเล่นเกมอยู่บนสนามที่เต็มไปด้วยเหยื่อ”
“แต่เจ้ากลับเดินเหมือนผู้ล่า…”
เซียนหลันยิ้มบาง
“เพราะหากข้าไม่ล่า…ข้าก็จะเป็นเหยื่อเช่นเดิม”