ลมค่ำพัดผ่านใบหลิวเป็นสาย
เสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้บาง ก้องในใจรัชทายาทเฟิงอวี้หานอย่างแผ่วเบา
เขายืนอยู่ลำพังภายในศาลากลางสระ
มองเงาจันทร์บนผืนน้ำนิ่งอย่างคนที่รู้ดีว่าความสงบนี้…คือพายุที่กำลังจะมา
⸻
“ฝ่าบาท เสด็จประทับอยู่นานแล้ว…กระหม่อมขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนยามนี้”
เวินอี้เฉินเดินเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำในมือ
เฟิงอวี้หานหันกลับช้า ๆ พลางพยักหน้าให้อีกฝ่ายเปิดมัน
ภายในห่อคือพัดไม้จันทน์เล่มหนึ่ง — ไม่ใช่ของเขา
และจดหมายฉบับสั้น เขียนด้วยลายมือที่พยายามปลอมแปลงอย่างจงใจ
“ในรอยเงาแห่งไม้จันทน์
ความลับในบัญชีที่ถูกลบ
จะเผาพระองค์หรือปกป้องท่าน…ขึ้นอยู่กับมือที่ถือพัด”
ไม่มีชื่อผู้ส่ง
ไม่มีตรา
แต่ “พัดไม้จันทน์” คือตราสัญลักษณ์ประจำองค์รัชทายาทเพียงคนเดียวในราชสำนักนี้
⸻
เฟิงอวี้หานจับพัดขึ้น
น้ำหนักไม้จันทน์เย็นเยียบ แต่กลับหนักเหมือนหินก้อนใหญ่ในใจ
เขาจำได้…เมื่อตอนยังเป็นเด็ก
ก่อนที่พระมารดาจะสิ้นพระชนม์เพราะ “ล้มป่วยกระทันหัน” —
ครั้งสุดท้ายที่นางกุมมือนั้นไว้ คือคำกระซิบแผ่ว ๆ
“เจ้าต้องเป็นพายุที่ไม่มีใครเห็นลม
แต่พัดเงาให้คนรู้ว่า…บางสิ่งมีอยู่จริง”
⸻
เขาเคยคิดว่าตนควบคุมกระดานทั้งหมด
แต่ยิ่งเงียบ ยิ่งเดินหมากนิ่ง เขายิ่งรู้สึกว่า เงาเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ผ่านมือเขา
⸻
ในห้องลับของตำหนักรอง
เฟิงอวี้หานนั่งอ่านรายงานของสำนักข่าวสาร
ถ้อยคำบางคำถูกขีดเส้นด้วยหมึกแดง
“ขุนนางสายกลางเริ่มเปิดการสอบทวนบัญชีหลวง”
“มีการกล่าวถึงเหรียญเบิกคลังที่ไม่ปรากฏในทะเบียนราชสำนัก”
“ชื่อ ‘ฉินจื่อ’ ถูกพูดถึงหลายครั้งในช่วงสองวันหลังสุด”
เขาหรี่ตา
“ฉินจื่อ”…คือผู้ที่เคยถวายงานแก่พระชายาอี้เฟยก่อนถูกไล่ออกจากวัง
และข้อมูลทั้งหมดนี้…ไม่เคยอยู่ในมือเขาเลย
⸻
“เวินอี้เฉิน เจ้าว่าคนที่ส่งจดหมายมาเป็นใคร?”
เวินอี้เฉินตอบหลังนิ่งไปพักหนึ่ง
“หากมิใช่ศัตรู…ก็คือคนที่อยากให้พระองค์กลายเป็น ‘หมาก’ แทนหมากคนอื่น”
เฟิงอวี้หานหัวเราะในลำคอ
“น่าสนุกดีใช่หรือไม่? จดหมายเช่นนี้…ข้าส่งเองยังไม่กล้าใช้ถ้อยคำล้อขนาดนี้”
⸻
เขากางพัดไม้จันทน์ขึ้นอีกครั้ง
เงาของพัดสาดลงบนโต๊ะเอกสาร เหมือนเงากรงเล็บของสัตว์ที่ซ่อนตัวมานาน
“เจียงซินหลัวจะกล้าขนาดนั้นหรือ?”
“หรือจะเป็น…เซียนหลัน?”
ชื่อสุดท้ายทำให้ห้องเงียบลงไปชั่วขณะ
“นางไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ทุกคำที่คนอื่นพูด…กลับโยงกลับไปถึงเงาของนางเสมอ”
⸻
ราตรีนั้น – บริเวณสวนหลังตำหนัก
เฟิงอวี้หานเดินอย่างเงียบงัน
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เขหยุดลง…มองไปยังหน้าต่างห้องหนังสือของตำหนักฮวาหลาน
แสงเทียนลอดออกมาเป็นเส้นเรียว
เงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเขียนบางอย่างลงในสมุด
เขามองนานมาก
ก่อนเอ่ยกับตนเองในใจเบา ๆ
“เจ้าไม่ได้เปิดโปงใคร…แต่เจ้ากำลังปลุกให้เงาต่าง ๆ เริ่มกลัวแสง”
“ข้าควรปล่อยให้เจ้าเผา…หรือดับไฟของเจ้าเสียเอง?”
⸻
คืนนั้น…เขาไม่ได้ส่งคนไปตำหนักฮวาหลาน
ไม่ออกคำสั่งใด
ไม่เก็บจดหมายใบนั้น
แต่กลับวางพัดไม้จันทน์เล่มนั้น…ไว้ข้างหมอนของตน
ราวกับจะบอกตนเองว่า
“หากวันหนึ่งต้องตัดสินใจ…พัดในมือนี้
จะไม่ใช่เครื่องตกแต่งตำแหน่งอีกต่อไป
แต่มันจะเป็น…ดาบในรูปของไม้”