ยามเงาจันทร์หายไปจากฟ้า เงาของความจริงจึงเผยร่างออกมาทีละน้อย
⸻
ลมยามค่ำพัดเอากลิ่นดอกเหมยจากสวนหลวงเข้ามาในผ้าม่านบางที่ปลิวไหวอยู่ริมระเบียง เงาไม้ทอดทับบนพื้นกระเบื้องหินราวเงาภาพที่ไม่อาจลบเลือน
เซียนหลันยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงตำหนัก เซียวเยี่ยนจินยามนี้หลับไปแล้ว และบรรดานางกำนัลก็แยกย้ายไปพักตามมุมเงา
คืนนี้เงียบ…เงียบจนน่าแปลก
นางเงยหน้ามองฟ้า ไม่มีแสงจันทร์ ไม่มีดาว ดั่งคืนที่ท้องฟ้าเก็บเงาของทุกอย่างไว้เบื้องหลังม่านดำ
แม้ดวงจันทร์จะเคยสาดส่องให้ผู้คนเห็นกันชัด แต่ในวังหลวง ไม่มีอะไรสว่างได้ตลอดกาล
⸻
คืนก่อนหน้านี้มีเสียงซุบซิบแผ่วเบาในหอฝ่ายใน กล่าวถึง “เจ้าหญิงผู้ฟื้นคืนจากอดีต” ที่กล้าลุกขึ้นสู้หลังจากถูกลืมเลือนมานาน แววตาที่เฉียบคมเกินวัย คำพูดที่ไม่มีใครกล้าโต้กลับ ทุกอย่างทำให้ชื่อของ “เซียนหลัน” ค่อย ๆ กลายเป็นลมหายใจที่ทุกคนต้องระวัง
ขุนนางบางคนเริ่มส่งสายตามาประเมิน
ขันทีบางรายเลือกจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยนามนางโดยไม่จำเป็น
ส่วนซูเจิน…เริ่มกระซิบกับบ่าวสนิทด้วยถ้อยคำที่แฝงเคลือบยาพิษยิ่งกว่าเดิม
“บางที…เงาของอดีต ก็สมควรถูกฝังอยู่ในอดีต มิใช่หรือ?”
⸻
ภายในห้องหลวงชั้นบนของพระราชวัง ฮ่องเต้หลี่ซือเฉินประทับอยู่เพียงลำพัง ทรงมองจอกสุราที่นิ่งอยู่บนโต๊ะไม้แกะลายวิหคเจ็ดปีก สายตาหม่นลงจนแทบไม่หลงเหลือความเด็ดขาดของจักรพรรดิผู้กุมแผ่นดิน
เสียงหนึ่งจากความทรงจำดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งใจ
“ฝ่าบาทเพคะ หากหลันเอ๋อร์โตขึ้น…หม่อมฉันอยากให้พระองค์ทรงเป็นผู้สอนนางเขียนหนังสือได้หรือไม่?”
“เหตุใดถึงไม่ให้เจ้าเป็นคนสอนล่ะ?”
“เพราะหม่อมฉัน…อยากให้เด็กน้อยคนนั้นได้เห็นว่าโลกนี้ยังมีมือที่อบอุ่นกว่ามือของมารดา…”
มือที่วางบนโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อย พระองค์ลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดของตู้
ข้างในมีเพียงกล่องเล็ก ๆ บรรจุกระดาษจดหมายเก่าและห่อผ้าฝ้ายสีซีดหนึ่งผืน
เมื่อเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในกลับเป็น “ของเล่นเล็ก ๆ” ที่คล้ายทำจากเศษไม้
รูปร่างของมัน…คือดอกเหมยสีแดงที่ถูกขูดลวดลายอย่างประณีต
ของเล่นในวัยเยาว์ของเซียนหลัน
ที่เคยทำหล่นไว้ในห้องบรรทมของพระองค์เมื่อสิบปีก่อน
วันนั้น…ที่นางถูกนำตัวออกไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลา
⸻
เซียนหลันยังคงยืนนิ่งริมระเบียง ไม่ไกลนัก ร่างหนึ่งก้าวเข้ามาในความเงียบ
เฟิงอวี้หานไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายพิธีการ มีเพียงชุดคลุมเรียบธรรมดาแต่สะอาดสะอ้าน นัยน์ตาเขามืดลึก แต่น้ำเสียงกลับนุ่มยิ่งกว่ายามใด
“เจ้าควรพักบ้าง” เขากล่าว ขณะมองใบหน้าที่แม้ไร้เครื่องประดับ แต่กลับมีรัศมีแปลกประหลาดบางอย่างที่ผู้คนในวังหลวงเริ่มเกรง
นางยิ้มน้อย ๆ ไม่หันไปมองเขา
“ข้าพักแล้ว…ในเวลาที่ข้าถูกลืม” นางเว้นจังหวะเล็กน้อย “ตอนนี้…ข้าต้องใช้คืนที่ทุกคนหลับ เพื่อปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้น”
เฟิงอวี้หานไม่ตอบ แต่เดินเข้ามาใกล้
นางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่วเบาแต่มั่นคง
เสียงของเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข่าวเรื่องปลอมแปลงตราและการเบิกยาเริ่มกระจายไปถึงสภาขุนนางแล้ว ข้าไม่ได้เร่งเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังยืนนิ่งแบบนี้นานเกินไป คนที่คิดแทนเจ้า…จะเริ่มลงมือแทน”
นางพยักหน้าเบา ๆ
“ข้ารู้ และข้ากำลังเลือก…ว่าจะให้ใครลงมือก่อน เพื่อให้ข้าเห็นหน้าที่แท้จริงของพวกเขา”
⸻
ยามฮ่ายค่ำวันนั้นเอง ขณะเหล่าขันทีกำลังเก็บของในหอสมุดหลวง ตำรับยาเล่มหนึ่งหล่นลงจากชั้นบนสุด
หน้ากระดาษที่เปิดเผยคือสูตรยาพิษชนิดอ่อนที่สามารถลบล้างร่องรอยการวางยาได้ภายในสองชั่วยาม
ตำรับเล่มนั้นเป็นของ “จิ้งเฟย” อดีตพระสนมเอกที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ
ผู้ที่เข้าอ่านบันทึกในหอสมุดก่อนหน้าเพียงหนึ่งวัน—ซูเมิ่งอวี่
⸻
ในลานบัวของตำหนักฝั่งตะวันตก เจียงซินหลัวเดินผ่านแนวกำแพงหินอย่างเงียบเชียบ
นางเพิ่งได้รับรายงานว่า คนของซูเจินเริ่มมีการ “จัดวางยา” ให้ผู้ที่เริ่มหันมาเห็นด้วยกับเซียนหลันมีอาการอ่อนแรงในช่วงยามเฉิน
บางคนป่วย บางคน “เงียบ” ไป
นางกำหมัดแน่น
“ข้าจะไม่ยืนเฉย…เหมือนในครั้งก่อน”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังตามหลัง นางหันไปเห็นเซียวเยี่ยนจินที่แอบตามมา
“แม่นางเจียง…” เด็กน้อยเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงกังวล “หากข้าไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ ท่านพี่อีก…ท่านจะช่วยข้าหรือไม่?”
เจียงซินหลัวนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย ยิ้มเบา ๆ พร้อมเอามือแตะไหล่เล็ก
“เจ้าจะไม่มีวันไม่มีใคร ข้าเคยเป็นเด็กที่ไม่มีใคร ข้ารู้ดี…ว่าเจ็บเพียงใด”
คำสัญญานั้น ไม่ได้ถูกกล่าวกับผู้เป็นพี่…แต่มอบให้กับ “ผู้จะเติบโต” เป็นอนาคตแท้จริงของเลือดราชวงศ์
⸻
คืนนั้นเอง เมฆบดบังจันทร์ตลอดคืน ไม่มีแสงใดส่องผ่าน
แต่ในเงามืดของห้องหลวง มีร่างหนึ่งเปิดบันทึกที่มีคราบเลือดเล็ก ๆ อยู่ด้านใน
มือที่พลิกกระดาษนั้น…คือมือของหลี่ซือเฉิน
ในใจของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ มีคำเพียงหนึ่งวาบขึ้นมาอย่างเงียบงัน
“หลันเอ๋อร์…ครั้งนี้ อย่าปล่อยให้ใครฆ่าเจ้าซ้ำเป็นครั้งที่สอง”