กลางค่ำคืน แสงจันทร์เต็มดวงส่องผ่านม่านโปร่งของตำหนักเจียงซินหลัว
หญิงสาวยืนอยู่ลำพัง ปลายนิ้วแตะเบา ๆ บนแผนที่วังหลวงที่ถูกซ่อนไว้ในลิ้นชักลับของโต๊ะเขียนหนังสือ
“เจ้าเคยรู้ไหม…ว่าทุกทางเดินในวังหลวง ล้วนไม่ใช่ทางที่วางมาเพื่อให้คนเดินอย่างอิสระ”
“แต่เพื่อให้ ‘ใครบางคน’ เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเจ้าได้ทุกฝีก้าว”
เสียงทุ้มเบาดังขึ้นจากเงาด้านหลัง
เป็น ไป๋หรง — ทูตเงาจากแคว้นเจี้ยนหรง ผู้ทำหน้าที่เป็นสายลับคู่มือของเจียงซินหลัว
⸻
“เจ้ากำลังลังเลแล้วสินะ…ซินหลัว”
“เจ้ามองหาหลักฐานเพื่อ ‘ยืนยันความผิดของเซียนหลัน’ หรือ ‘ยืนยันความบริสุทธิ์ของนาง’ กันแน่?”
เจียงซินหลัวเงียบไปครู่หนึ่ง
เงาจันทร์สะท้อนดวงหน้าเยือกเย็นของนางซ้อนกับภาพมารดาในความทรงจำ
ภาพของหญิงผู้บอกว่านางควร “สงบ ยิ้ม และแทงเข็มในเวลาเดียวกัน”
“ข้ากำลังมองหาสิ่งที่ ‘ความจริงไม่ต้องขออนุญาตให้ใครยอมรับ’”
“เพราะหากสิ่งที่เราสืบทอดมา ล้วนแต่เป็นเงาเงื่อนไขจากคนที่ยังมีลมหายใจ ข้าก็ไม่ต่างจากหุ่นเชิด”
⸻
เช้าวันถัดมา
เจียงซินหลัวแวะมาหาตำหนักฮวาหลานอย่างไม่เป็นทางการ
เซียนหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ ชงชาเงียบ ๆ
บ่าวรับใช้รู้มารยาทดี พอรับแขกแล้วก็หลบออกไปทันที
“ข้าได้ยินว่าเจ้าค้นพบบันทึกของแม่เจ้า…”
“ข้าอยากรู้ว่า ข้า…จะขออ่านได้หรือไม่”
เซียนหลันเงยหน้า
ไม่แปลกใจที่เจียงซินหลัวเอ่ยตรงขนาดนี้
นางมองอีกฝ่ายนานก่อนตอบอย่างเรียบ
“หากท่านอ่านแล้ว…จะเชื่อหรือไม่?”
เจียงซินหลัวยิ้มบาง ๆ
“เชื่อหรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่า…การรู้ว่า ข้าเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ข้าเคย ‘ไม่กล้าถาม’ เสียที”
⸻
เซียนหลันส่งห่อผ้าเล็ก ๆ ให้
ข้างในมีเศษจดหมายครึ่งฉบับที่ถูกฉีก บางบรรทัดแทบอ่านไม่ออก
แต่ชื่อของ “จ้าวซืออัน” ขุนนางฝ่ายกลางที่ล่วงลับไปแล้ว กลับถูกเขียนไว้ชัดเจน พร้อมคำว่า “ขอขอบคุณที่ช่วยปกป้องบุตรข้า”
เจียงซินหลัวอ่านแล้วนิ่ง
“ท่านแน่ใจหรือว่าจดหมายนั้นเป็นของมารดาท่าน?”
“ข้าไม่แน่ใจ”
เซียนหลันตอบเรียบ
“แต่ข้าแน่ใจว่า คนที่กลบเรื่องนี้…ไม่ได้สนใจความจริงเลยแม้แต่น้อย”
⸻
ในคืนนั้น
เจียงซินหลัวกลับตำหนักแล้วหยิบ “สมุดบันทึกข่าวกรอง” ที่เธอเก็บมาตั้งแต่เด็กขึ้นมาเปิดอีกครั้ง
หน้าเก่าเล่าว่า “พระชายาอี้เฟยมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับขุนนางชาย” และ “หลีกเลี่ยงการเข้าพบฮ่องเต้ช่วงท้ายชีวิต”
แต่เมื่อเธอค้นข้อมูลใหม่ พบว่าช่วงเวลานั้น…มารดาของเซียนหลัน “ถูกจำกัดการพบใครโดยตรง” ตามคำสั่งของวังใน
“งั้นแปลว่าที่หลีกเลี่ยง…เพราะไม่มีสิทธิ์จะพบต่างหาก?”
“และการไม่ปรากฏตัว…ก็เพราะถูกสั่งให้เงียบ?”
ใจเธอเริ่มสั่น
สายตาเคยเย็นเฉียบ เริ่มมีความแคลงใจเจืออยู่
⸻
ตัดภาพกลับมาที่ตำหนักของเซียนหลัน
เวินอี้เฉินเข้ามารายงานเบา ๆ ว่า
“ขุนนางที่เคยอยู่ใกล้พระชายาอี้เฟยหลายคน กำลังถูกจับตา”
“รวมถึงข้าราชการที่อาจมีส่วนช่วยซ่อนจดหมายในวันนั้น”
เซียนหลันยกมือแตะริมถ้วยชา
“ดี…ปล่อยให้พวกเขาเริ่มสั่นกลัวก่อน ข้าจะยังไม่ลงมือ”
“เพราะศัตรูที่ตกใจ มักเผยไพ่ในมือก่อนเวลาเสมอ”
⸻
เจียงซินหลัวกลับไปยืนหน้ากระจกทองเหลือง
เธอถอดปิ่นทองคำรูปพยัคฆ์ที่พกติดมาจากแคว้นเจี้ยนหรง วางลงเบา ๆ บนโต๊ะ
“หากข้าจะหักหลังสิ่งที่เคยเชื่อ…”
“ข้าก็อยากให้เป็นเพราะความจริง ไม่ใช่เพราะความรัก”
เสียงจันทร์เงียบ
แต่ใจของเจียงซินหลัวเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ และมั่นคง
-------------------------------------------
ในอีกฝากกลางดึกของคืนนั้น
ณ ศาลากลางสระบัวในตำหนักรัชทายาท
เฟิงอวี้หานนั่งเงียบอยู่เพียงลำพัง
เบื้องหน้าคือกาน้ำชาที่ยังอุ่น แสงจันทร์ทอดเงาบนโต๊ะไม้
และปลายนิ้วของเขาก็กำลังลูบเบา ๆ บนพัดไม้จันทน์ที่เขาเพิ่งได้คืนมา
เป็นพัดเล่มเดียวกับที่เขาเคยมอบให้นางเมื่อครั้งยังเด็ก
และเพิ่งเห็นอีกครั้ง…ในมือของเซียนหลัน
เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
เวินอี้เฉินเดินเข้ามาแล้วโค้งเล็กน้อย
“ฝ่าบาท…ท่านแน่ใจหรือ ว่าการถอนหมั้นกับตระกูลซูจะไม่ส่งผลต่อความมั่นคงกับแคว้นหนานเยียน?”
เฟิงอวี้หานไม่ตอบทันที
เขาเพียงรินชาใส่ถ้วย แล้วยกขึ้นจิบอย่างสงบ ก่อนพูดเสียงเบา
“ตระกูลซูไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อสิบปีก่อน…”
“การแต่งกับซูเมิ่งอวี่ มีแต่จะให้ข้า ‘ติดหนี้บุญคุณ’ โดยไม่จำเป็น”
“ในสงครามของบัลลังก์ หนี้…คือโซ่ตรวนที่รัดคอ”
เวินอี้เฉินพยักหน้าช้า ๆ
แต่ดวงตายังมองเฟิงอวี้หานไม่วาง
“แล้วเหตุผลส่วนตัวเล่า…ท่านแน่ใจหรือว่าไม่มี?”
เฟิงอวี้หานหัวเราะเบา ๆ
เป็นรอยยิ้มที่หายากนักจากเขา
“เมื่อก่อน ข้ามองเซียนหลันเป็นเพียงหญิงผู้ถูกลืม”
“แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าหญิงผู้นั้น…เป็นคนที่หากไม่ระวังสายตา จะเผลอ ‘มองซ้ำ’ อยู่เรื่อยไป”
เงาของพัดสะท้อนบนโต๊ะ
รอยยิ้มของเฟิงอวี้หานจางลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยช้า ๆ
“ข้าถอนหมั้น…เพื่อไม่ให้ชื่อข้าผูกกับใครโดยไม่มีใจ”
“แต่ข้าก็ถอนเพื่อให้ตัวข้า…มีสิทธิ์เลือกใครบางคนในแบบที่ข้าไม่เคยมีสิทธิ์เลือกมาก่อน”