ผมเชื่อว่าทุกคนต่างเคยยืนอยู่ตรง "ทางแยก"
บางคนมีป้ายชี้ทางไว้ชัดเจน พ่อแม่เตรียมไว้ให้ ครูแนะแนวให้คำแนะนำ หรือสังคมบอกว่าเส้นทางนี้ดี
แต่บางคน...ไม่มีแม้กระทั่งแผนที่
ผมคือคนนั้น — เด็ก ม.5 ที่สอบเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ด้วยทุนจากโรงเรียนชื่อดัง
แม่ทำงานร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ลำปาง พ่อเสียตั้งแต่ผมอายุ 9 ขวบ ผมโตมากับคำว่า "ต้องตั้งใจเรียนนะ จะได้มีอนาคตดีๆ"
ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งมาถึงที่นี่
ที่ที่ไม่มีใครบอกผมว่า…
การพยายามเป็น "คนเก่ง" ตลอดเวลา มันเจ็บแค่ไหน
ตัวละครหลัก
ภู (ภูกานต์)
เด็ก ม.5 จากต่างจังหวัด เข้ากรุงเทพครั้งแรกด้วยทุนการศึกษา เก็บกด อ่อนไหว ไม่เก่งเข้าสังคม แต่เป็นคนตั้งใจจริงและขี้เขียน
ทีน่า (ธีรดา)
เด็กสาวห้องข้าง ๆ สายศิลป์ ชอบวาดภาพลงสมุดเงียบ ๆ ไม่ชอบพูดเรื่องครอบครัว มีแววตาเศร้า และโลกในหัวของเธอเต็มไปด้วยสี
แบงค์ (ธนพล)
เพื่อนร่วมห้องของภู ร่าเริง ตลก ชอบเล่นบาส แต่เก็บปัญหาไว้เงียบ ๆ ไม่กล้ากลับบ้านเพราะพ่อดุและคาดหวังสูง เป็นเหมือน "พี่ชาย" ที่ใจดี
บทที่ 1: กรุงเทพฯ ไม่ได้สว่างเหมือนในโฆษณา
เสียงรถเมล์ดังเอี๊ยดข้างโรงเรียนประจำชื่อดังแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ
เด็กชายหน้าตาธรรมดา เดินถือกระเป๋าสะพายข้างเก่า ๆ ที่แม่ซื้อให้เมื่อสองปีก่อน
"นี่กรุงเทพฯ เหรอวะ…" – เขาบ่นเบา ๆ กับตัวเอง
ภูรู้สึกเหมือนทุกคนดูเก่งกว่า ดูมีอุปกรณ์เรียนที่แพงกว่า มือถือดีกว่า แม้กระทั่งรองเท้านักเรียนยังขาวกว่า
ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ เขาไม่รู้จักใครเลย
ตอนเข้าห้องเรียน เสียงคนคุยกันเรื่องติว SAT กับเรียนอินเตอร์
เขาแทบไม่เข้าใจ
จนกระทั่งช่วงพักเที่ยง เขาไปนั่งกินข้าวมุมเงียบ ๆ หลังตึกกิจกรรม
มีเด็กสาวผมสั้นคนหนึ่ง นั่งอยู่ก่อนแล้ว
เธอวาดภาพแมวสีฟ้าในสมุดอย่างตั้งใจ
"เอ่อ...เราขอนั่งตรงนี้ได้มั้ย?"
"ได้สิ ไม่ใช่ที่ของเราคนเดียว" – เธอพูดโดยไม่เงยหน้า
เธอชื่อ "ทีน่า" — คำพูดน้อยแต่ใจดี
พวกเขาเริ่มคุยกันในช่วงพักเที่ยงมากขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ภูสังเกตได้คือ ทีน่าไม่เคยพูดถึงพ่อแม่เลย
บทที่ 2: โลกของผู้ชายที่ไม่กล้าร้องไห้
"แบงค์" คือคนที่ทำให้ภูเริ่มเข้าใจว่าความเก่งไม่ใช่ทุกอย่าง
เขาเล่นบาสเก่ง ช่วยงานห้องเสมอ พูดจาตลกและดูเป็นที่รักของทุกคน
แต่วันหนึ่งหลังเลิกเรียน
ภูเดินกลับหอพักช้า ๆ แล้วบังเอิญเห็นแบงค์นั่งอยู่ใต้สะพานลอย
เขากำลังร้องไห้เงียบ ๆ มือถือแนบหู
"ก็ได้...จะกลับก็กลับ พ่ออยากให้เป็นหมอก็จะเป็น...โอเคไหม?"
"...แต่ผมไม่ได้อยากเป็น"
นั่นเป็นครั้งแรกที่ภูได้เห็นว่า คนที่ดูแข็งแกร่ง…ก็ร้องไห้เหมือนกัน
หลังจากวันนั้น ทั้งสามคนเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น
เขาเริ่มรู้จักโลกที่ไม่มีในหนังสือเรียน
รู้จักความเจ็บปวดที่ไม่มีคะแนนวัดได้
บทที่ 3: ใครคือ "คนธรรมดา"?
หลังจากผ่านวันแรกในโรงเรียนใหม่
ภูเริ่มตั้งคำถามว่า เขา "ธรรมดาเกินไปหรือเปล่า"
ในห้องเรียนเต็มไปด้วยเพื่อนที่มีอะไรโดดเด่นทั้งนั้น
"พ่อเขาเป็นหมอใหญ่ที่ศิริราช"
"คนนั้นติดแข่งขันฟิสิกส์ระดับชาติ"
"ยัยนี่เคยไปแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นตอน ม.ต้นเลยนะ!"
แต่เขาไม่มีอะไรแบบนั้น
แค่เด็กบ้านนอกธรรมดา ที่ใช้มือถือรุ่นเก่า
เสื้อผ้าซื้อจากตลาดนัด
เวลาทำกิจกรรมก็พูดไม่เก่ง ไม่ค่อยมีใครสังเกต
กระทั่งวันหนึ่งครูสั่งงานเขียนบันทึก 1 หน้ากระดาษ
ภูเขียนเรื่อง "บ้านของผมตอนหน้าฝน"
ครูเอาไปอ่านหน้าห้อง แล้วบอกว่า:
"นี่เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สะเทือนใจที่สุดที่ครูเคยอ่าน"
ทั้งห้องเงียบ
ภูรู้สึกตัวเบาขึ้นเล็กน้อย
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่า...
"บางที...ความธรรมดาของเรา อาจไม่ธรรมดาสำหรับใครบางคน"
บทที่ 4: ความลับในภาพวาดของทีน่า
ทีน่าชอบวาดรูป
ทุกครั้งที่ภูเห็น เธอมักวาดภาพที่ไม่สมจริง — เช่น
เด็กชายลอยอยู่กลางฟ้า
ปลาว่ายอยู่บนผืนทราย
ต้นไม้เติบโตจากเตาอบ
เขาเคยถามเธอ
"ภาพพวกนี้หมายถึงอะไรเหรอ?"
ทีน่าตอบเรียบ ๆ
"มันคือความรู้สึกที่พูดไม่ได้"
ต่อมาในวันหนึ่ง ฝนตกหนัก
เธอยื่นภาพหนึ่งให้ภู
ในภาพคือเด็กหญิงนั่งอยู่ในห้องมืด ล้อมรอบด้วยคนเงาๆ ที่ตะโกนใส่เธอ
"บ้านเราน่ะ...อยู่กันแบบนี้"
ทีน่าเล่าว่า เธอเป็นลูกคนเดียว
พ่อแม่ทะเลาะกันตลอด แต่บอกคนอื่นว่าครอบครัวสมบูรณ์
เธอเลยไม่ค่อยไว้ใจใคร — จนมาเจอภู
"นายมันน่าเบื่อดีอะ…ฉันเลยไว้ใจได้" – ทีน่ายิ้มเล็กๆ
บทที่ 5: ความฝันที่ไม่ใช่ของตัวเอง
วันสอบชิงทุนไปต่างประเทศกำลังจะมาถึง
มันคือโอกาสที่ทุกคนรอบตัวภูบอกว่า "ควรไปให้ได้"
แม้แต่แม่ก็โทรมาบอกว่า
"แม่ดีใจนะ ถ้าลูกได้ทุนนี้…แม่จะภูมิใจที่สุดเลย"
แต่ในขณะเดียวกัน ทีน่าเริ่มวาดภาพของ "เมืองที่ไม่มีทางออก"
และแบงค์เริ่มเก็บตัวเงียบ ไม่พูดเรื่องบ้านอีกเลย
ภูเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง
เขาเขียนลงสมุดว่า:
"ถ้าผมไม่ได้อยากเป็นคนเก่งล่ะ?
ถ้าผมอยากแค่มีชีวิตที่ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ผิดไหม?"
บทที่ 7: วันที่ไม่เข้าสอบ
แม่เข้าโรงพยาบาลกะทันหัน
ภูลังเลจะไปหรือสอบ
สุดท้ายเขาเลือกขึ้นรถไฟกลับลำปางทันที
เขานั่งมองหน้าต่างรถไปเรื่อย ๆ หัวใจแน่นราวกับทำผิดมหันต์
เมื่อเขาไปถึงโรงพยาบาล
แม่ยิ้ม ทั้งที่อิดโรย
"แม่ไม่ได้อยากให้ลูกเป็นคนเก่งที่สุดในโลก…
แค่อยากให้ลูกไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ก็พอ"
บทที่ 6: คืนที่ไม่มีดาว
หลังจากที่ภูเห็นแบงค์ร้องไห้ใต้สะพาน เขาไม่กล้าเข้าไปทักในตอนนั้น
แต่วันรุ่งขึ้น เขาเอากาแฟกระป๋องไปวางบนโต๊ะของแบงค์โดยไม่พูดอะไร
แบงค์ยิ้ม และบอกว่า
"เมื่อคืนเห็นเราด้วยเหรอ… โทษทีนะ ที่ทำให้เห็นด้านแย่ๆ"
ภูไม่ตอบ แต่พูดว่า
"คนเข้มแข็งจริง…คือคนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ไหว"
ทั้งสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น
ตอนเย็นแบงค์ชวนภูกับทีน่าไปนั่งบนดาดฟ้าหอพัก
แม้จะมองไม่เห็นดาวเพราะแสงเมือง
แต่พวกเขาก็นั่งเงียบ ๆ ด้วยกันนานมาก
"เงียบแบบนี้ดีแฮะ"
"ใช่...บางทีเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำหรอก แค่ต้องการใครสักคนที่อยู่เฉย ๆ กับเราในวันที่เราแย่"
คืนนั้นไม่มีดาว
แต่ในใจของพวกเขา เหมือนเริ่มเห็นแสงบางอย่าง
บทสรุป: ทางแยกไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
เรื่องนี้จบลงโดยไม่มีพระเอกที่ได้รางวัล ไม่มีนางเอกที่ถูกรักโดยทุกคน
แต่มีแค่เด็กสามคน
ที่เลือกจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นในแต่ละวัน
และเรียนรู้ว่า…
บางครั้ง "การไม่รู้จะเดินทางไหน"
ก็ไม่ใช่เรื่องแย่
เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ
"การเป็นตัวเองจริง ๆ"